คำสอนของหลวงปู่ดุลย์ ประโยคนี้ แล้วแต่คนจะตีความ
แต่สำหรับผม จากประโยคเริ่มต้นที่ผมได้รู้จากหลวงปู่
ประโยคนี้ประโยคเดียวทำให้ผมมีความก้าวหน้าในทางธรรมจนทุกวันนี้
ในเวลานั้นที่ผมสัมผัสคำนี้
คำว่า อย่าส่งจิตออกนอก สำหรับผม หลวงปู่บอกอะไร
หลวงปู่บอกเราให้มีสติสัมปชัญญะ รักษาสติสัมปชัญญะให้มั่นอย่าฟุ้งออก
ถ้าไม่มีสติ จิตมันก็ฟุ้งออกไป
ถ้ามีสติสัมปชัญญะบริบูรณ์ จิตก็จะตั้งในสมาธิที่จะนำมาพิจารณาให้เกิดประโยชน์ได้
นี่แหละความหมายที่ผมเข้าใจ
ถ้าเรามารู้จัก สติสัมปชัญญะ กันโดยย่อแล้ว
คำว่า สติ ถ้าจะว่าให้ละเอียด คือ อาการของจิตที่เรียกว่า สติเจตสิก
ส่วนคำว่า สัมปชัญญะ ก็คือ อาการของจิตที่เรียกว่า ปัญญาเจตสิก
เมื่อมาทำงานร่วมกันในการเพ่งหรือจับอารมณ์ จับอาการของจิต
ก็รวมเรียกว่า สติสัมปชัญญะ
ถ้าไปค้นต่อเราจะเจอที่หลวงปู่สอน
ให้ดูพฤติของจิต พฤติของจิตก็ คือ อาการของจิต ที่เรียก เจตสิก นี้แล
ไม่ใช่อะไรไกลตัว อย่าให้มองข้ามไปเสียจากพุทธวจนะ
แล้วเราจะเห็นความสอดคล้องต้องกัน
โดยไม่ต้องไปประดิษฐ์คำอธิบายอะไรมาอีก
*** ข้อมูลประกอบเพิ่มเติม ***
พระอภิธัมมัตถสังคหะ ปริจเฉทที่ 2 เจตสิกสังคหวิภาค
สติเจตสิก
คือความระลึกรู้อารมณ์และยับยั้งมิให้จิตตกไปในอกุศล ความระลึกอารมณ์ที่เป็นกุศล ความระลึกได้ที่รู้ทันอารมณ์
สติ เป็นธรรมที่มีอุปการะมากต้องใช้สติต่อเนื่องกันตลอดเวลา
ในทางเจริญวิปัสสนาหรือเจริญสมาธิ มุ่งทางปฏิบัติซึ่งเป็นทางสายเดียวที่จะหลุดพ้นจากกิเลสไปได้
โดยเจริญสติปัฏฐานทาง กาย เวทนา จิต ธรรม มีสติระลึกรู้อยู่เนื่อง ๆ ว่า กายมีปฏิกูล ฯลฯ
ถ้าจิตยังสอดส่ายไปที่อื่น สติจะระลึกรู้อยู่เนืองๆได้อย่างไร
ปัญญาเจตสิกมีแต่ดวงเดียวไม่มีพวก มีชื่อเรียกอีกชื่อหนึ่งว่า ปัญญินทรียเจตสิก
ปัญญาเจตสิก คือความรู้ในเหตุผลแห่งความจริงของสภาวธรรมและทำลายความเห็นผิด หรือเป็นเจตสิก
ที่มีความรู้เป็นใหญ่ ปกครองซึ่งสหชาตธรรมทั้งปวง
สติ เจตสิก มีลักขณาทิจตุกะ ดังนี้
อปิลาปนลกฺขณา มีความระลึกได้ในอารมณ์เนืองๆคือมีความไม่ประมาท เป็นลักษณะ
อสมฺโมหรสา มีการไม่หลงลืม เป็นกิจ
อารกฺขปจฺจุปฏฺฐานา มีการรักษาอารมณ์ เป็นผล
ถิรสญฺญาปทฏฺฐานา มีการจำได้แม่นยำ เป็นเหตุใกล้
สติเป็นเครื่องชักนำใจให้ยึดถือกุสลธรรมเป็นอุดมคติ ถ้าหากว่าขาดสติเป็นประธานเสียแล้ว สมาธิก็ไม่สามารถจะมีได้เลย และเมื่อไม่มีสมาธิแล้ว ปัญญาก็เกิดไม่ได้
เหตุให้เกิดสติ โดยปกติมี ๑๗ ประการ คือ
(๑) ความรู้ยิ่ง เช่น สติของบุคคลที่ระลึกชาติได้พระพุทธองค์ระลึกชาติได้ไม่จำกัดชาติจะระลึกได้ทุกชาติ
ที่พระองค์ปรารถนา สติของพระอานนท์จำพระสูตรที่พระพุทธจ้าตรัสไว้ได้หมด
(๒) ทรัพย์ เป็นเหตุให้เจ้าของทรัพย์มีสติ คือเมื่อมีทรัพย์มักจะเก็บรักษาไว้อย่างดี และจะระมัดระวังจด
จำไว้ว่าตนเก็บทรัพย์ไว้ที่ใด
(๓) สติเกิดขึ้นเนื่องจากเกิดเหตุการณ์ครั้งยิ่งใหญ่ในชีวิต เช่น พระโสดาบันจะจำได้โดยแม่นยำถึงเหตุการณ์ที่ท่านได้บรรลุเป็นพระโสดาบัน หรือบุคคลที่ได้รับยศยิ่งใหญ่ครั้งหนึ่งในชีวิต
(๔) สติเกิดขึ้น โดยระลึกถึงเหตุการณ์ที่ตนได้รับความสุขที่ประทับใจ เมื่อนึกถึงก็จะจำเรื่องต่าง ๆ ได้
(๕) สติเกิดขึ้น เนื่องจากความทุกข์ที่ได้รับเมื่อระลึกถึงก็จะจดจำได้
(๖) สติเกิดขึ้น เพราะเห็นเหตุการณ์ที่คล้ายคลึงกับเหตุการณ์ที่ตนเคยประสบ
(๗) สติเกิดขึ้น เพราะเห็นเหตุการณ์ที่ตรงกันข้ามกับที่เคยประสบ
(๘) สติเกิดขึ้น เพราะคำพูดของคนอื่น เช่น มีคนเตือนให้เก็บทรัพย์ที่ลืมไว้
(๙) สติเกิดขึ้น เพราะเห็นเครื่องหมายที่ตนทำไว้ เช่น เห็นหนังสือที่เขียนชื่อไว้ถูกลืมไว้
(๑๐) สติเกิดขึ้น เพราะเห็นเรื่องราวต่าง ๆ หรือผลงาน เช่น เห็นพุทธประวัติก็ระลึกถึงองค์
สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นต้น
(๑๑) สติเกิดขึ้น เพราะความจำได้ เช่น มีการนัดหมายไว้ เมื่อมองไปที่กระดานก็จำได้ว่าต้องไปตามที่ได้นัดไว้
(๑๒) สติเกิดขึ้น เพราะการนับ เช่น การเจริญสติระลึกถึงพระพุทธคุณ ก็ใช้นับลูกประคำ เพื่อมิให้ลืม
(๑๓) สติเกิดขึ้น เพราะการทรงจำเรื่องราวต่าง ๆ ที่ศึกษาค้นคว้า แล้วจำเรื่องราวต่าง ๆ ได้
(๑๔) สติเกิดขึ้นเพราะการระลึกชาติได้ ๑ ชาติบ้าง ๒ ชาติบ้าง (บุคคลที่มิใช่พระพุทธเจ้า)
(๑๕) สติเกิดขึ้น เพราะการบันทึกไว้ เมื่อดูบันทึกก็จำได้
(๑๖) สติเกิดขึ้น เพราะทรัพย์ที่เก็บได้เช่นเห็นทรัพย์ก็นึกขึ้นได้ว่าได้เก็บทรัพย์ไว้
(๑๗) สติเกิดขึ้น เพราะสิ่งที่เคยพบเคยเห็นมาแล้ว เมื่อเห็นอีกครั้งก็ระลึกได้
ปัญญาเจตสิก มีลักขณาทิจตุกะ ดังน
ธมฺมสภาวปฏิเวธลกฺขณา มีความรู้แจ้งซึ่งสภาวธรรม เป็นลักษณะ
โมหนฺธการวิทฺธํสนรสา มีการกำจัดมืด เป็นกิจ
อสมฺโมหปจฺจุปฏฺฐานา มีความไม่หลงผิด หรือไม่เห็นผิด เป็นผล
สมาธิปทฏฺฐานา มีสมาธิ เป็นเหตุใกล้
กล่าวโดยสรุป ปัญญามี ๓ นัย คือ
ก. กัมมสกตาปัญญา ปัญญาที่รู้ว่า กรรมเป็นสมบัติของตน
ข. วิปัสสนาปัญญา ปัญญาที่รู้ขันธ์ ๕ รูปนาม เป็น อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา
ค. โลกุตตรปัญญา ปัญญาที่รู้แจ้งแทงตลอดในอริยสัจจ ๔
ปัญญาที่รู้เห็นความที่สัตว์มีกรรมเป็นสมบัติของตน อันเรียกว่า
กัมมสกตาปัญญา นี้ มี ๑๐ ประการ คือ
(๑) อตฺถิทินนํ ปัญญารู้เห็นว่า ทานที่บุคคลให้แล้ว ย่อมมีผล
(๒) อตฺยิฏฐํ ปัญญารู้เห็นว่า การบูชาย่อมมีผล
(๓) อตฺถิหุตํ ปัญญารู้เห็นว่า การบวงสรวงเทวดา ย่อมมีผล
(๔) อตฺถิกมฺมานํ ผลํวิปาโก ปัญญารู้เห็นว่า ผลวิบากของกรรมดีและชั่วมีอยู่ (ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว
ทั้งทางตรงและทางอ้อม)
(๕) อตฺถิอยํโลโก ปัญญารู้เห็นว่า โลกนี้มีอยู่ (ผู้จะมาเกิดนั้นมี)
(๖) อตฺถิปโรโลโก ปัญญารู้เห็นว่า โลกหน้ามีอยู่ (ผู้จะไปเกิดนั้นมี)
(๗) อตฺถิมาตา ปัญญารู้เห็นว่า มารดามีอยู่ (การทำดี ทำชั่วต่อมารดาย่อมจะได้รับผล)
(๘) อตฺถิปิตา ปัญญารู้เห็นว่า บิดามีอยู่ (การทำดี ทำชั่วต่อบิดาย่อมจะได้รับผล)
(๙) อตฺถิ สตฺตโอปปาติกา ปัญญารู้เห็นว่าโอปปาติกสัตว์นั้นมีอยู่ (สัตว์นรก เปรต อสุรกาย เทวดา พรหมนั้นมี)
(๑๐) อตฺถิ โลเกสมณพฺรหฺมณา สมฺมาปฏิปนฺนา ปัญญารู้เห็นว่าสมณพราหมณ์ ผู้ปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ ประกอบด้วยความรู้ยิ่ง เห็นจริง
สัมปชัญญะ 4
สัมปชัญญะ 4 ( ความรู้ตัว ความรู้ตัวทั่วพร้อม ความรู้ชัด ความรู้ทั่วชัด ความตระหนัก )
1. สาตถกสัมปชัญญะ 2. สัปปายสัมปชัญญะ 3. โคจรสัมปชัญญะ 4. อสัมโมหะสัมปชัญญะ
1. สาตถกสัมปชัญญะ
รู้ชัดว่ามีประโยชน์ หรือตระหนักในจุดหมาย คือรู้ตัวตระหนักชัดว่าสิ่งที่กระทำนั้นมีประโยชน์ตามความมุ่งหมายอย่างไรหรือไม่ หรือว่าอะไรควรเป็นจุดหมายของการกระทำนั้น เช่น ผู้เจริญกรรมฐาน เมื่อจะไป ณ ที่ใดที่หนึ่ง มิใช่สักว่ารู้สึกหรือนึกขึ้นมาว่าจะไป ก็ไป แต่ตระหนักว่าเมื่อไปแล้วจะได้ปีติสุขหรือความสงบใจ ช่วยให่เกิดความเจริญโดยธรรม จึงไป โดยสาระคือความรู้ตระหนักที่จะเลือกทำสิ่งที่ตรงกับวัตถุประสงค์หรืออำนวยประโยชน์ที่มุ่งหมาย
2. สัปปายสัมปชัญญะ
รู้ชัดว่าเป็นสัปปายะ หรือตระหนักในความเหมาะสมเกื้อกูล คือรู้ตัวตระหนักชัดว่า สิ่งของนั้น การกระทำนั้น ที่ที่จะไปนั้น เหมาะกันกับตน เกื้อกูลแก่สุขภาพ แก่กิจ เอื้อต่อการสละละลดแห่งอกุศลธรรมและการเกิดขึ้นเจริญงอกงามแห่งกุศลธรรม จึงใช้ จึงทำ จึงไป หรือเลือกให้เหมาะ เช่น ภิกษุใช้จีวรที่เหมาะกับดินฟ้าอากาศและเหมาะกับภาวะของตนที่เป็นสมณะ ผู้เจริญกรรมฐานจะไปฟังธรรมอันมีประโยชน์ในที่ชุมนุมใหญ่ แต่รู้ว่ามีอารมณ์ซึ่งจะเป็นอันตรายต่อกรรมฐาน ก็ไม่ไป โดยสาระคือ ความรู้ตระหนักที่จะเลือกทำแต่สิ่งที่เหมาะสมสบายเอื้อต่อกาย จิต ชีวิตกิจ พื้นภูมิ และภาวะของตน
3. โคจรสัมปชัญญะ
รู้ชัดว่าเป็นโคจร หรือตระหนักในแดนงานของตน คือรู้ตัวตระหนักชัดอยู่ตลอดเวลาถึงสิ่งที่เป็นกิจ หน้าที่ เป็นตัวงาน เป็นจุดของเรื่องที่ตนกระทำ ไม่ว่าจะไปไหนหรือทำอะไรอื่น ก็รู้ตระหนักอยู่ ไม่ปล่อยให้เลือนหายไป มิใช่ว่าพอทำอะไรอื่น หรือไปพบสิ่งอื่นเรื่องอื่น ก็เตลิดเพริดไปกับสิ่งนั้นเรื่องนั้นเป็นนกบินไม่กลับรัง โดยเฉพาะการไม่ทิ้งอารมณ์กรรมฐาน ซึ่งรวมถึงการบำเพ็ญจิตภาวนาและปัญญาภาวนาในกิจกรรมทุกอย่างในชีวิตประจำวัน โดยสาระคือ ความรู้ตระหนักที่จะคุมกายและจิตไว้ให้อยู่ในกิจ ในประเด็น หรือแดนงานของตนไม่ให้เขว เตลด เลื่อนลอย หรือ หลงลืมไปเสีย
4. อสัมโมหะสัมปชัญญะ
รู้ชัดว่าไม่หลง หรือตระหนักในตัวเนื้อหาสภาวะไม่หลงฟั่นเฟือน คือเมื่อไปไหน ทำอะไร ก็รู้ตังตระหนักชัดในการเคลื่อนไหว หรือในการกระทำนั้น และในสิ่งที่กระทำนั้น ไม่หลง ไม่สับสนเงอะงะฟั่นเฟือน เข้ใจล่วงตลอดไปถึงตัวสภาวะในการกระทำที่เป็นไปอยู่นั้น ว่าเป็นเพียงการประชุมกันขององค์ประกอบและปัจจัยต่าง ๆ ประสานหนุนเนื่องกันขึ้นมาให้ปรากฏเป็นอย่างนั้น หรือสำเร็จกิจนั้น ๆ รู้ทันสมมติ ไม่หลงสภาวะเช่นยึดเห็นเป็นตัวตน โดยสาระคือ ความรู้ตระหนัก ในเรื่องราว เนื้อหา สาระ และสภาวะของสิ่งที่ตนเกี่ยวข้องหรือกระทำอยู่นั้น ตามที่เป็นจริงโดยสมมติสัจจะ หรือตลอดถึงโดยปรมัตถสัจจะ มิใช่พรวดพราดทำไป หรือสักว่าทำ มิใช่ทำอย่างงมงายไม่รู้เรื่องและไม่ถูกหลอกให้ลุ่มหลงหรือเข้าใจผิดไปเสียด้วยความพร่ามัว หรือด้วยลักษณะอาการภายนอกที่ยั่วยุ หรือเย้ายวนเป็นต้น
คัดลอกจาก พจนานุกรมพุทธศาสน์ ฉบับประมวลธรรม โดยพระธรรมปิฎก (ป.อ.ปยุตโต)
โดยสรุปตามความเข้าใจของผม
คำว่า อย่าส่งจิตออกนอก ของหลวงปู่
ได้เตือนสติให้ผมมีความระมัดระวังยิ่ง
ในการรักษา สติ ความระลึกรู้
สัมปชัญญะ
ความรู้ตัวทั่วพร้อม มีความรู้เข้าใจสภาวะการตามความเป็นจริง
อาตาปี
มีความเพียรพยายามตั้งใจเอาใจใส่ มีโยนิโสมนสิการ ตามกำหนดสภาวการต่างๆ
สติมา
อารมณ์ต่างๆ รูปนามสังขารเกิดขึ้นมาในที่ใด มีสติกำหนดในที่นั้น ไม่ให้คลาดเคลื่อนจากปัจจุบันอารมณ์ ขณะที่สติเกาะอยู่กับปัจจุบันอารมณ์นี้เองสมาธิก็เกิดด้วย
สัมปชาโน
เมื่อ วิริยะ สติ สมาธิ ทำหน้าที่กันอย่างบริบูรณ์ โยคีบุคคลสามารถกำหนดรู้ เห็นการเกิดดับของรูปนาม เห็นไตรลักษณ์ มีความรู้เข้าใจสภาวะการตามความเป็นจริงนี้เรียกว่า ปัญญินทรีย์เจตสิก ได้แก่ สัมปชัญญะ
อาตาปี สติมา สัมปชาโน นี้เป็นหัวใจของสติปัฏฐานสี่
และเป็นหัวใจของการปฏิบัติโดยความระมัดระวังของผม
มาโดยตลอดนับตั้งแต่ ได้อ่านประโยคสั้นๆประโยคนี้ของหลวงปู่เป็นต้นมา
ที่จริงแล้ว ผมเชื่อว่า
ท่านอื่นๆ เองก็อาจจะเข้าใจความหมายต่างออกไปได้นอกจากนี้อีกมากมาย
เพราะพระธรรมนั้น เป็น สวากขาโต ภควตาธัมโม ธรรมะอันพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสดีแล้ว สันทิฏฐิโก อันผู้ปฏิบัติผู้ได้บรรลุพึงเห็นเอง อกาลิโก ไม่ประกอบด้วยกาลเวลา เอหิปัสสิโก ควรเรียกให้มาดู โอปนยิโก ควรน้อมเข้ามา และ ปัจจัตตัง เวทิตัพโพ วิญญูหิ อันวิญญูคือผู้รู้พึงรู้เฉพาะตน
ธรรมนั้นกล่าวโดยย่อก็ยาก สรุปยิ่งยาก เพราะธรรมไม่ได้มีความหมายแค่สิ่งที่เราเขียน
เหมือนเวลาเราเข้าใจอะไรก็ตาม จะมาสรุปเป็นภาษาเขียนอย่างไรก็อธิบายไม่ได้ทั้งหมด
แต่ถ้าเราแต่ละคนได้ขวนขวายจนเข้าใจ ในอนาคตข้างหน้า
อย่างน้อยก็พอหวังได้ว่า ใกล้เป้าหมายเข้าไปอีกหนึ่งก้าว
ขอให้เจริญในธรรมครับ
Friday, January 4, 2008
Subscribe to:
Post Comments (Atom)
1 comment:
Hello. This post is likeable, and your blog is very interesting, congratulations :-). I will add in my blogroll =). If possible gives a last there on my blog, it is about the Webcam, I hope you enjoy. The address is http://webcam-brasil.blogspot.com. A hug.
Post a Comment