เคยมีพราหมณ์คนหนึ่งด่าว่าพระพุทธเจ้าอย่างหยาบคาย รุนแรง พระพุทธเจ้ารับฟังด้วยอาการสงบ ไม่โต้ตอบเลยแม้สักคำเดียว จนพราหมณ์ด่าว่าจบ(ไม่รู้ว่าเพราะหมดแรงซะก่อนหรือเปล่า) พระพุทธเจ้าจึงกล่าวถามพราหมณ์ว่า "พราหมณ์ ถ้ามีแขกมาบ้านท่าน ท่านก็ต้อนรับด้วยอาหารคาว-หวาน แต่แขกที่มานั้นไม่กินอาหารที่ท่านนำมาต้อนรับเลย แล้วกลับไป อาหารนั้นจะเป็นของใคร" พราหมณ์ตอบว่า "ก็เป็นของข้าผู้เป็นเจ้าของบ้านน่ะซิ" พระพุทธเจ้าจึงบอกแก่พราหมณ์ว่า "ก็เหมือนกันพราหมณ์ สิ่งที่ท่านต้อนรับเราด้วยคำด่าว่าทั้งหลายนี้ เราไม่ขอรับ" พราหมณ์เกิดสำนึกผิด ที่กล่าวด่าว่าต่อผู้ที่มีคุณธรรมสูง ควรที่จะให้ความเคารพนับถือ จึงก้มลงกราบพระพุทธเจ้าอย่างนอบน้อม
คำด่า ดีอย่างไร สำหรับผู้ปฏิบัติธรรม และมีโยโสมนสิการ
1. ทดสอบตนเอง
พิจารณาดูว่า ขณะเราถูกด่า เกิดการกระทบ เรายังมีอาสวะคือ ความโกรธ หรือไม่
บางคนหลงคิดว่าเราไปถึงขั้นไหนๆแล้ว
นั่งสมาธินิ่งจิตสงบเหลือเกิน
นึกว่าตนเอง ไม่มีราคะ โทสะ โมหะ
เจอคนด่าปัง เกิดโมโหขึ้นมาปั๊บ
แสดงว่า ยังต้องปรับปรุง
พิจารณารู้ตัวว่าตนมีอาการอย่างไร โมโหอย่างไร
เริ่มโมโหตรงไหน และตรงไหนที่ทำให้อารมณ์ตนเองคุคั่งไม่เลิก
หรือถ้าตั้งสตินึกได้เร็ว หรือเห็นแล้วว่าลดทอนเบากว่าเดิม
ก็ถือเสียว่าก้าวหน้าขึ้นบ้าง แต่ก็ต้องปรับปรุงต่อไป
2. พิจารณาตนเอง
ได้ถือโอกาสตรวจดูว่า เรามีพฤติกรรมอะไรควรปรับปรุง
มีอาการอย่างไรจากการบริภาษ เหล่านั้น
บางอย่างในยามปกติเราไม่เคยมีอาการ
แต่พอมีอะไรสะกิดให้อารมณ์ฟุ้งขึ้นมาได้
เราก็ได้เห็นตัวเรา ธรรมชาติของตัวเรามากขึ้น
ยิ่งสังเกตมากยิ่งรู้จักตัวเองตามสภาพความเป็นจริง
ซึ่งจะเป็นประโยชน์อย่างยิ่งในทางธรรม
ได้รู้ว่าละอะไรได้บ้าง ละอะไรไม่ได้บ้าง
3. รู้ผู้อื่น
พิจารณาที่เขา บริภาษ เราอยู่นั้น จะได้เห็นว่าเขามีภูมิจิตภูมิธรรมอย่างไร
ยิ่งพิจารณาให้ดีจะมีประโยชน์ยิ่ง
บางครั้งถ้าตั้งจิตพิจารณาดีดีจะรู้สึกสงสารเขา
คนเราบางทีมีโอกาสไม่เท่ากัน ยิ่งเห็นภูมิจิตภูมิธรรมของคน
จะยิ่งรู้สึกว่าเราโชคดีนักที่ได้พิจารณาเห็นธรรมที่เขาไม่เห็น
ยิ่งสังเวชโลก ยิ่งตั้งใจปฏิบัติธรรม
4. มีพุทธพจน์ ทรงตรัสสอนไว้ว่า..
น เต อหํ อานนฺท ตถา ปรกฺกมิสฺสามิ
อานนท์ เราจักไม่พยายามทำกะพวกเธอ อย่างทะนุถนอม
ยถา กุมฺภกาโร อามเก อามกมตฺเต
เหมือนพวกช่างหม้อ ทำแก่หม้อ ที่ยังเปียก ยังดิบอยู่
นิคฺคยฺหนิคฺคยฺหาหํ อานนฺท วกขามิ
อานนท์ เราจักขนาบแล้ว ขนาบอีก ไม่มีหยุด
ปวยฺหปวยฺหาหํ อานนฺท วกฺขามิ
อานนท์ เราจักชี้โทษแล้ว ชี้โทษอีก ไม่มีหยุด
โย สาโร, โส ฐสฺสติ
ผู้ใดมีมรรคผลแก่นสาร ผู้นั้นจักทนอยู่ได้ (ม. อุ. 14/356)
นิธีนํว ปวตฺตารํ ยํ ปสฺเส วชฺชทสฺสินํ
นิคฺคยฺหวาทึ เมธาวึ ตาทิสํ ปณฺฑิตํ ภเช
คนเรา ควรมองผู้มีปัญญาใดๆ ที่คอยชี้โทษ คอยกล่าว
คำขนาบอยู่เสมอไป ว่าคนนั้นแหละ คือผู้ชี้ขุมทรัพย์,
ควรคบบัณฑิตที่เป็นเช่นนั้น
ตาทิสํ ภชมานสฺส เสยฺโย โหติ น ปาปิโย
เมื่อคบหากับบัณฑิตชนิดนั้นอยู่ ย่อมมีแต่ดีท่าเดียว ไม่มีเลวเลย. (ขุ. ธ. 25/16 )
5. อย่าลืมน้อมตัวอย่างของพระพุทธเจ้า ที่นำมากล่าวข้างต้น
หลังจากนี้ เราจะฟังคำด่าด้วยโยนิโสมนสิการ และรู้สึกเหมือนเข้าสนามทดสอบรถฟอร์มูล่าวัน
เจริญในธรรมครับ
Saturday, December 29, 2007
Thursday, December 13, 2007
อุปมาขันธ์
เผณปิณฑสูตร (ว่าด้วยอุปมาขันธ์ ๕) <<<
[๒๔๒] สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ที่ฝั่งแม่น้ำคงคาใกล้อยุชฌบุรี.
ณ ที่นั้นแล พระผู้มีพระภาคตรัสเรียกภิกษุทั้งหลายมาแล้วตรัสว่า
ดูกรภิกษุทั้งหลาย แม่น้ำคงคานี้ พึงนำกลุ่มฟองน้ำใหญ่มา
บุรุษผู้มีจักษุพึงเห็น เพ่ง พิจารณากลุ่มฟองน้ำใหญ่นั้น โดยแยบคาย
เมื่อบุรุษนั้นเห็น เพ่ง พิจารณาอยู่โดยแยบคาย
กลุ่มฟองน้ำนั้น พึงปรากฏเป็นของว่างเปล่าหาสาระมิได้เลย
สาระในกลุ่มฟองน้ำ พึงมีได้อย่างไร แม้ฉันใด.
ดูกรภิกษุทั้งหลาย
รูปอย่างใดอย่างหนึ่ง ทั้งที่เป็นอดีต อนาคต และปัจจุบัน ฯลฯ อยู่ในที่ไกลหรือในที่ใกล้
ภิกษุย่อมเห็นเพ่ง พิจารณารูปนั้นโดยแยบคาย เมื่อภิกษุนั้นเห็น เพ่ง พิจารณาอยู่โดยแยบคาย
รูปนั้นย่อมปรากฏเป็นของว่างเปล่า หาสาระมิได้
สาระในรูปพึงมีได้อย่างไร ฉันนั้นเหมือนกัน.
[๒๔๓] ดูกรภิกษุทั้งหลาย เมื่อฝนเมล็ดหยาบตกอยู่ในสรทสมัย
ฟองน้ำในน้ำ ย่อมบังเกิดขึ้นและดับไป
บุรุษผู้มีจักษุ พึงเห็น เพ่ง พิจารณาฟองน้ำนั้นโดยแยบคาย
เมื่อบุรุษนั้นเห็น เพ่ง พิจารณาอยู่โดยแยบคาย
ฟองน้ำนั้น พึงปรากฏเป็นของว่างเปล่า หาสาระมิได้เลย
สาระในฟองน้ำนั้นพึงมีได้อย่างไร แม้ฉันใด.
เวทนาอย่างใดอย่างหนึ่ง ทั้งที่เป็นอดีต อนาคตและปัจจุบัน ฯลฯ อยู่ในที่ไกลหรือในที่ใกล้
ภิกษุย่อมเห็น เพ่ง พิจารณาเวทนานั้นอยู่โดยแยบคาย เมื่อภิกษุนั้นเห็น เพ่ง พิจารณาอยู่โดยแยบคาย
เวทนานั้นย่อมปรากฏเป็นของว่างเปล่า หาสาระมิได้
สาระในเวทนาพึงมีได้อย่างไร ฉันนั้นเหมือนกัน.
[๒๔๔] ดูกรภิกษุทั้งหลาย เมื่อเดือนสุดท้ายแห่งฤดูร้อนยังอยู่
พยับแดด ย่อมเต้นระยิบระยับในเวลาเที่ยง
บุรุษผู้มีจักษุพึงเห็น เพ่ง พิจารณา พยับแดดนั้นโดยแยบคาย
เมื่อบุรุษนั้นเห็น เพ่ง พิจารณาอยู่โดยแยบคาย
พยับแดดนั้น พึงปรากฏเป็นของว่างเปล่า หาสาระมิได้เลย
สาระในพยับแดดพึงมีได้อย่างไร แม้ฉันใด.
สัญญาอย่างใดอย่างหนึ่ง ทั้งที่เป็นอดีต อนาคตและปัจจุบัน ฯลฯ อยู่ในที่ไกลหรือในที่ใกล้
ภิกษุย่อมเห็น เพ่ง พิจารณาสัญญานั้นอยู่โดยแยบคาย เมื่อภิกษุนั้นเห็น เพ่ง พิจารณาอยู่โดยแยบคาย
สัญญานั้นย่อมปรากฏเป็นของว่างเปล่า หาสาระมิได้
สาระในสัญญาพึงมีได้อย่างไร ฉันนั้นเหมือนกัน.
[๒๔๕] ดูกรภิกษุทั้งหลาย บุรุษผู้มีความต้องการด้วยไม้แก่น
เสาะหาไม้แก่น เที่ยวแสวงหาไม้แก่นอยู่ ถือเอาจอบอันคม พึงเข้าไปสู่ป่า
บุรุษนั้นพึงเห็นต้นกล้วยใหญ่ ตรง ใหม่ยังไม่เกิดแก่นในป่านั้น
พึงตัดโคนต้นกล้วยนั้นแล้วจึงตัดปลาย แล้วจึงปอกกาบใบออก
บุรุษนั้นปอกกาบใบออก ไม่พึงได้แม้กระพี้ในต้นกล้วยใหญ่นั้น จะพึงได้แก่นแต่ที่ไหน
บุรุษผู้มีจักษุพึงเห็น เพ่ง พิจารณาอยู่โดยแยบคาย ซึ่งต้นกล้วยใหญ่นั้น
เมื่อบุรุษนั้นเห็น เพ่ง พิจารณาอยู่โดยแยบคาย
ต้นกล้วยใหญ่นั้น พึงปรากฏเป็นของว่างเปล่า หาแก่นมิได้
แก่นในต้นกล้วยพึงมีได้อย่างไร แม้ฉันใด.
สังขารเหล่าใดเหล่าหนึ่ง ทั้งที่เป็นอดีต อนาคต และปัจจุบัน ฯลฯอยู่ในที่ไกลหรือในที่ใกล้
ภิกษุย่อมเห็น เพ่ง พิจารณาสังขารนั้นโดยแยบคาย เมื่อภิกษุนั้นเห็นเพ่ง พิจารณาอยู่โดยแยบคาย
สังขารนั้น ย่อมปรากฏเป็นของว่างเปล่า หาสาระมิได้
สาระในสังขารทั้งหลายพึงมีได้อย่างไร ฉันนั้นเหมือนกันแล.
[๒๔๖] ดูกรภิกษุทั้งหลาย นักเล่นกลหรือลูกมือนักเล่นกล พึงแสดงกลที่หนทางใหญ่สี่แพร่ง
บุรุษผู้จักษุพึงเห็น เพ่ง พิจารณากลนั้นโดยแยบคาย
เมื่อบุรุษนั้นเห็น เพ่ง พิจารณาอยู่โดยแยบคาย
กลนั้น พึงปรากฏเป็นของว่างเปล่า หาสาระมิได้
สาระในกลพึงมีได้อย่างไร แม้ฉันใด.
วิญญาณอย่างใดอย่างหนึ่ง ทั้งที่เป็นอดีต อนาคต และปัจจุบัน ฯลฯ อยู่ในที่ไกลหรือในที่ใกล้
ภิกษุย่อมเห็น เพ่ง พิจารณาอยู่โดยแยบคาย เมื่อภิกษุเห็น เพ่งพิจารณาวิญญาณนั้นโดยแยบคาย
วิญญาณนั้น ย่อมปรากฏเป็นของว่างเปล่า หาสาระมิได้
สาระในวิญญาณพึงมีได้อย่างไร ฉันนั้นเหมือนกันแล.
ดูกรภิกษุทั้งหลาย อริยสาวกผู้สดับแล้วเห็นอยู่อย่างนี้
ย่อมเบื่อหน่ายทั้งในรูป ทั้งในเวทนา ทั้งในสัญญา ทั้งในสังขาร ทั้งในวิญญาณ
เมื่อเบื่อหน่าย ย่อมคลายกำหนัด เพราะคลายกำหนัด ย่อมหลุดพ้น
เมื่อหลุดพ้นแล้ว ย่อมมีญาณหยั่งรู้ว่า หลุดพ้นแล้ว รู้ชัดว่า ฯลฯ กิจอื่นเพื่อความเป็นอย่างนี้มิได้มี ดังนี้।
.......................................................................................
[๒๔๒] สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ที่ฝั่งแม่น้ำคงคาใกล้อยุชฌบุรี.
ณ ที่นั้นแล พระผู้มีพระภาคตรัสเรียกภิกษุทั้งหลายมาแล้วตรัสว่า
ดูกรภิกษุทั้งหลาย แม่น้ำคงคานี้ พึงนำกลุ่มฟองน้ำใหญ่มา
บุรุษผู้มีจักษุพึงเห็น เพ่ง พิจารณากลุ่มฟองน้ำใหญ่นั้น โดยแยบคาย
เมื่อบุรุษนั้นเห็น เพ่ง พิจารณาอยู่โดยแยบคาย
กลุ่มฟองน้ำนั้น พึงปรากฏเป็นของว่างเปล่าหาสาระมิได้เลย
สาระในกลุ่มฟองน้ำ พึงมีได้อย่างไร แม้ฉันใด.
ดูกรภิกษุทั้งหลาย
รูปอย่างใดอย่างหนึ่ง ทั้งที่เป็นอดีต อนาคต และปัจจุบัน ฯลฯ อยู่ในที่ไกลหรือในที่ใกล้
ภิกษุย่อมเห็นเพ่ง พิจารณารูปนั้นโดยแยบคาย เมื่อภิกษุนั้นเห็น เพ่ง พิจารณาอยู่โดยแยบคาย
รูปนั้นย่อมปรากฏเป็นของว่างเปล่า หาสาระมิได้
สาระในรูปพึงมีได้อย่างไร ฉันนั้นเหมือนกัน.
[๒๔๓] ดูกรภิกษุทั้งหลาย เมื่อฝนเมล็ดหยาบตกอยู่ในสรทสมัย
ฟองน้ำในน้ำ ย่อมบังเกิดขึ้นและดับไป
บุรุษผู้มีจักษุ พึงเห็น เพ่ง พิจารณาฟองน้ำนั้นโดยแยบคาย
เมื่อบุรุษนั้นเห็น เพ่ง พิจารณาอยู่โดยแยบคาย
ฟองน้ำนั้น พึงปรากฏเป็นของว่างเปล่า หาสาระมิได้เลย
สาระในฟองน้ำนั้นพึงมีได้อย่างไร แม้ฉันใด.
เวทนาอย่างใดอย่างหนึ่ง ทั้งที่เป็นอดีต อนาคตและปัจจุบัน ฯลฯ อยู่ในที่ไกลหรือในที่ใกล้
ภิกษุย่อมเห็น เพ่ง พิจารณาเวทนานั้นอยู่โดยแยบคาย เมื่อภิกษุนั้นเห็น เพ่ง พิจารณาอยู่โดยแยบคาย
เวทนานั้นย่อมปรากฏเป็นของว่างเปล่า หาสาระมิได้
สาระในเวทนาพึงมีได้อย่างไร ฉันนั้นเหมือนกัน.
[๒๔๔] ดูกรภิกษุทั้งหลาย เมื่อเดือนสุดท้ายแห่งฤดูร้อนยังอยู่
พยับแดด ย่อมเต้นระยิบระยับในเวลาเที่ยง
บุรุษผู้มีจักษุพึงเห็น เพ่ง พิจารณา พยับแดดนั้นโดยแยบคาย
เมื่อบุรุษนั้นเห็น เพ่ง พิจารณาอยู่โดยแยบคาย
พยับแดดนั้น พึงปรากฏเป็นของว่างเปล่า หาสาระมิได้เลย
สาระในพยับแดดพึงมีได้อย่างไร แม้ฉันใด.
สัญญาอย่างใดอย่างหนึ่ง ทั้งที่เป็นอดีต อนาคตและปัจจุบัน ฯลฯ อยู่ในที่ไกลหรือในที่ใกล้
ภิกษุย่อมเห็น เพ่ง พิจารณาสัญญานั้นอยู่โดยแยบคาย เมื่อภิกษุนั้นเห็น เพ่ง พิจารณาอยู่โดยแยบคาย
สัญญานั้นย่อมปรากฏเป็นของว่างเปล่า หาสาระมิได้
สาระในสัญญาพึงมีได้อย่างไร ฉันนั้นเหมือนกัน.
[๒๔๕] ดูกรภิกษุทั้งหลาย บุรุษผู้มีความต้องการด้วยไม้แก่น
เสาะหาไม้แก่น เที่ยวแสวงหาไม้แก่นอยู่ ถือเอาจอบอันคม พึงเข้าไปสู่ป่า
บุรุษนั้นพึงเห็นต้นกล้วยใหญ่ ตรง ใหม่ยังไม่เกิดแก่นในป่านั้น
พึงตัดโคนต้นกล้วยนั้นแล้วจึงตัดปลาย แล้วจึงปอกกาบใบออก
บุรุษนั้นปอกกาบใบออก ไม่พึงได้แม้กระพี้ในต้นกล้วยใหญ่นั้น จะพึงได้แก่นแต่ที่ไหน
บุรุษผู้มีจักษุพึงเห็น เพ่ง พิจารณาอยู่โดยแยบคาย ซึ่งต้นกล้วยใหญ่นั้น
เมื่อบุรุษนั้นเห็น เพ่ง พิจารณาอยู่โดยแยบคาย
ต้นกล้วยใหญ่นั้น พึงปรากฏเป็นของว่างเปล่า หาแก่นมิได้
แก่นในต้นกล้วยพึงมีได้อย่างไร แม้ฉันใด.
สังขารเหล่าใดเหล่าหนึ่ง ทั้งที่เป็นอดีต อนาคต และปัจจุบัน ฯลฯอยู่ในที่ไกลหรือในที่ใกล้
ภิกษุย่อมเห็น เพ่ง พิจารณาสังขารนั้นโดยแยบคาย เมื่อภิกษุนั้นเห็นเพ่ง พิจารณาอยู่โดยแยบคาย
สังขารนั้น ย่อมปรากฏเป็นของว่างเปล่า หาสาระมิได้
สาระในสังขารทั้งหลายพึงมีได้อย่างไร ฉันนั้นเหมือนกันแล.
[๒๔๖] ดูกรภิกษุทั้งหลาย นักเล่นกลหรือลูกมือนักเล่นกล พึงแสดงกลที่หนทางใหญ่สี่แพร่ง
บุรุษผู้จักษุพึงเห็น เพ่ง พิจารณากลนั้นโดยแยบคาย
เมื่อบุรุษนั้นเห็น เพ่ง พิจารณาอยู่โดยแยบคาย
กลนั้น พึงปรากฏเป็นของว่างเปล่า หาสาระมิได้
สาระในกลพึงมีได้อย่างไร แม้ฉันใด.
วิญญาณอย่างใดอย่างหนึ่ง ทั้งที่เป็นอดีต อนาคต และปัจจุบัน ฯลฯ อยู่ในที่ไกลหรือในที่ใกล้
ภิกษุย่อมเห็น เพ่ง พิจารณาอยู่โดยแยบคาย เมื่อภิกษุเห็น เพ่งพิจารณาวิญญาณนั้นโดยแยบคาย
วิญญาณนั้น ย่อมปรากฏเป็นของว่างเปล่า หาสาระมิได้
สาระในวิญญาณพึงมีได้อย่างไร ฉันนั้นเหมือนกันแล.
ดูกรภิกษุทั้งหลาย อริยสาวกผู้สดับแล้วเห็นอยู่อย่างนี้
ย่อมเบื่อหน่ายทั้งในรูป ทั้งในเวทนา ทั้งในสัญญา ทั้งในสังขาร ทั้งในวิญญาณ
เมื่อเบื่อหน่าย ย่อมคลายกำหนัด เพราะคลายกำหนัด ย่อมหลุดพ้น
เมื่อหลุดพ้นแล้ว ย่อมมีญาณหยั่งรู้ว่า หลุดพ้นแล้ว รู้ชัดว่า ฯลฯ กิจอื่นเพื่อความเป็นอย่างนี้มิได้มี ดังนี้।
.......................................................................................
Subscribe to:
Posts (Atom)